AT&T ยังใช้ Optic Fiber เป็นหลักแต่มีแผนขยาย 5G ในปี 2023

AT&T ยังใช้ Optic Fiber เป็นหลักแต่มีแผนขยาย 5G ในปี 2023

บริษัท AT&T ให้สัญญาว่าจะขยาย 5G ที่จะครอบคลุมช่วงความถี่ระดับกลางในวงกว้างในปี 2023 แต่สำหรับตอนนี้ AT&T ยังต้องใช้ Optic Fiber เป็นสื่อหลักไปก่อน

AT&T ตั้งเป้าที่จะครอบคลุมผู้คน 200 ล้านคนด้วยคลื่นความถี่ 5G ระดับกลางภายในสิ้นปี 2023 แต่ไม่ได้ให้สัญญาว่าจะมีระบบ Wireless ใหม่ในปี 2022 โดยบริษัทจะเน้นที่การส่งเสริมเครือข่ายใยแก้วแทนทางเลือกอื่นๆ เช่น สายเคเบิลและ Fixed Wireless

Jennifer Robertson EVP และ GM ของ AT&T Mobility กล่าวหลังจากใช้เวลาสามปีในการพยายามเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นสื่อ แต่ AT&T ก็กลับมาเป็นบริษัทด้านการเชื่อมต่ออีกครั้ง ทำให้ความผันผวนลดลงและลูกค้าเพิ่มขึ้น

AT&T ให้ความสำคัญกับ Optic Fiber ก่อน

Jeff McElfresh CEO ของ AT&T Communications กล่าวว่าภารกิจส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับเครือข่าย Optic Fiber ของ AT&T มากกว่าเครือข่ายไร้สายทั่วประเทศ เครือข่ายต้องเริ่มต้นด้วยรากฐานที่มั่นคงของ Optic Fiber ก่อน

McElfresh กล่าวว่า Optic Fiber เท่านั้นที่สามารถรองรับความต้องการสื่อสารข้อมูลของครัวเรือนและบ้านในสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุนี้ AT&T จะยังคงขยาย Optic Fiber ออกจากเมืองและชานเมืองที่มีอยู่เดิมโดยมีเป้าหมายที่จะเข้าถึงประมาณ 50 ล้านครัวเรือนซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญสำหรับ Optic Fiber ที่ยังไม่ได้ให้บริการ 

การสนับสนุน Optic Fiber ของ AT&T เกิดขึ้นเนื่องจากความต้องการ Bandwidth เปลี่ยนจากอาคารสำนักงานขนาดใหญ่เป็นบ้านพักอาศัย ด้วยจำนวนคนทำงานในสหรัฐอเมริกาที่มีทางเลือกให้ทำงานจากที่บ้านมากกว่าก่อนเกิดการระบาดใหญ่เพิ่มอีก 35 ล้านคน ปริมาณการใช้ข้อมูลในบ้านจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.6 TB/เดือน ภายในปี 2025 ในความเห็นของ McElfresh มีเพียง Optic Fiber เท่านั้นที่มีความจุและสมมาตรที่จะรองรับได้

AT&T ตั้งเป้าที่จะมีบ้านและอาคาร 30 ล้านหลังที่สามารถเข้าถึง Optic Fiber ได้ภายในปี 2025 McElfresh กล่าวเพิ่มเติมว่า AT&T ที่มีความสามารถในการติดตั้ง Optic Fiber ต่อวันสูงมากเพราะมันให้ประสิทธิภาพที่เร็วที่สุดและสมมาตร และไม่ว่า Optic Fiber จะไปที่ใด Wireless ก็จะตามมา

AT&T มีข้อมูลรายละเอียดน้อยกว่า Verizon หรือ T-Mobile ในแง่ของความเร็ว Wireless ที่จะตามมา McElfresh ยืนยันว่า AT&T กำลังปรับใช้ “วิทยุสองความถี่ต่อเสา” ในขณะที่จะสร้างเครือข่ายโดยใช้คลื่นความถี่ C-band ที่ 3.7-3.8 GHz และคลื่นความถี่ 3.45-3.55 GHz ที่ใหม่กว่า

McElfresh เพิ่มเติมว่า AT&T สามารถปรับใช้คลื่นความถี่กลาง 80MHz ทั้งหมดได้ในปีนี้

กลยุทธ์ “One Touch“ ในการปรับใช้ C-band และ 3.45GHz อาจช้ากว่าวิธีอื่น แต่จะทำให้ความสามารถการออนไลน์มากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

AT&T มีแผนใช้คลื่น Wireless ระดับกลาง

AT&T ย้ำว่าจะมีผู้ใช้ความถี่ระดับกลาง 70 ล้านคนในปี 2022 และตั้งเป้าไว้ที่ 200 ล้านคนภายในสิ้นปี 2023 ซึ่งจะทำให้ AT&T ตามหลังคู่แข่งคือ Verizon ที่จะมี C-band 175 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2022 ในขณะที่ T-Mobile ตั้งเป้าไว้ที่ 260 ล้านด้วยคลื่นความถี่กลางภายในสิ้นปีนี้

แต่ McElfresh ยังคงมั่นใจเพราะ AT&T มีข้อได้เปรียบในการครอบคลุมที่ชัดเจนในระดับตารางไมล์ซึ่งย่านความถี่ต่ำที่มีอยู่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดและสม่ำเสมอที่สุด

นอกจากนี้ สัญญา FirstNet ของ AT&T กับหน่วยงานรัฐบาล เช่น กรมตำรวจ ยังสร้างข้อได้เปรียบด้วย ส่วนในระบบเติมเงินบริการ Cricket ช่วยให้ AT&T เป็นผู้ให้บริการระบบเติมเงินที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา และข้อตกลงใหม่ในการให้บริการโรมมิ่งทั่วประเทศสำหรับบริการ Dish จะช่วยกระตุ้นลูกค้าธุรกิจค้าส่งของ AT&T

AT&T ยังมีพื้นที่สำคัญที่จะเติบโตไปพร้อมกับตลาดเม็กซิกัน – อเมริกัน เนื่องจาก AT&T เป็นเจ้าของผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายในเม็กซิโก โดย Robertson กล่าวว่า AT&T เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวที่เสนอบริการการโทรศัพท์, ข้อความและข้อมูลได้ไม่จำกัดในทั้งสองประเทศเพราะเป็นเครือข่ายเดียวกัน

#ข่าวIT #ข่าวเทคโนโลยี